สนามฟุตซอล

12. การดูแลรักษาสีพื้นสนามฟุตซอล

6.สีพื้นสนามฟุตซอล ควรใช้สีใด

7. การเลือกใช้สีพื้นทาสนามฟุตซอล ควรคำนึงถึงอะไรบ้าง

9.สีทาพื้นสนามสนามฟุตซอล มีกี่ประเภท

10.สีทาพื้นสนามแบบ PU(polyurethane)

11. สีทาพื้นสนามแบบอะคริลิค (Acrylic)

12.การดูแลร้กษาพื้นสนามฟุตซอล
 
 

1.สนามฟุตซอลคืออะไร

1. สนามฟุตซอลคืออะไร

           สนามฟุตซอล เป็นพื้นสนามฟุตซอล ที่ใช้สำหรับการแข่งขันกีฬาฟุตซอล หรือฟุตบอลในรูปแบบย่อยที่เล่นในพื้นที่ปิด

          สนามฟุตซอลมักจะมีขนาดเล็กกว่าสนามฟุตบอลปกติและมีผนังสูงรอบด้านเพื่อป้องกันการทำลายออกไปนอกสนาม เกมฟุตซอลเป็นกีฬาที่มีความเร็วสูงและมีการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว มักจะมีผู้เล่นเท่ากับ 5 คนในแต่ละทีมและมีเวลาการแข่งขันที่สั้น แนวทางการเล่นและกฎของฟุตซอลอาจแตกต่างจากฟุตบอลปกติอย่างมาก

          โดยทั่วไปแล้วมันเป็นกีฬาที่สนุกและมีความเร็วในการเล่นมาก ๆ และเป็นที่นิยมในหลายประเทศทั่วโลก สนามฟุตซอลสามารถอยู่ในรูปแบบของสนามในร่มหรือแบบที่อาจไม่มีหลังคา ขึ้นอยู่กับสถานที่และสภาพแวดล้อมที่ใช้สร้าง

          เป็นวัสดุเคลือบพื้นสนามชนิด PU(polyurethane) หรือ อะคริลิค (Acrylic)  ร่วมกับชั้นยางสังเคราะห์ให้ความยืดหยุ่น  เป็นระบบที่ได้มาตรฐานของพื้นสากล ใช้ได้กับทุกสนาม

2. พื้นสนามฟุตซอลคืออะไร

            พื้นสนามฟุตซอลคือ พื้นผิวที่ใช้ในสนามฟุตซอลที่มีลักษณะเป็นพื้นผิวแบบนอกปกติ มักจะมีการตกแต่งและปรับแต่ง

           เพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานที่หลากหลายของกีฬาฟุตซอล เช่น การทาสีเพื่อเป็นพื้นที่เล่น การปรับปรุงคุณภาพพื้นผิวเพื่อลดการเกิดการบาดเจ็บและเพิ่มความสมบูรณ์ให้กับผู้เล่น และการติดตั้งระบบระบายน้ำเพื่อรักษาสภาพอากาศในสนามให้ดีขึ้น

          นอกจากนี้ พื้นสนามฟุตซอลยังมีความสำคัญในการช่วยให้ผู้เล่นมีสมรรถนะสูงในการเล่นเกม โดยการมองเห็นและความเสถียรภาพของพื้นสนามฟุตซอลยังจะมีผลต่อการเล่นและผลลัพธ์ของเกมในทั้งสองฝ่ายพื้นสนามฟุตซอล

          เมื่อพื้นสนามฟุตซอลมีคุณภาพ จะช่วยให้ผู้เล่นสามารถเล่นได้อย่างสมบูรณ์และมีความสะดวกสบาย การเล่นบนพื้นสนามฟุตซอล ที่มีคุณภาพสูงช่วยให้ผู้เล่นสามารถแข่งขันอย่างมั่นคงและมีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น

3. ประเภทของพื้นสนามฟุตซอล

         พื้นสนามฟุตซอลสามารถแบ่งได้เป็นหลายประเภทตามวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างและลักษณะของพื้นผิว โดยประเภทที่พบบ่อยได้แก่:

พื้นสนามฟุตซอลพื้นดิน: สนามฟุตซอลที่มีพื้นผิวที่เป็นดินเป็นหลัก มักใช้กันอย่างแพร่หลายในสนามฟุตซอลที่ตั้งอยู่ในสนามกว้าง

พื้นสนามฟุตซอลหญ้าเทียม: สนามฟุตซอลที่มีพื้นผิวเป็นหญ้าเทียม มักให้ความรู้สึกเหมือนกับการเล่นฟุตบอลบนหญ้าจริง แต่มักมีการบำรุงรักษาที่ง่ายกว่า

พื้นสนามฟุตซอลยาง: สนามฟุตซอลที่มีพื้นผิวที่เป็นยาง มักมีความยืดหยุ่นและความสมูทบนพื้นผิวที่ช่วยลดการบาดเจ็บขณะเล่น

 พื้นสนามฟุตซอลอื่นๆ: ยังมีประเภทอื่นๆ อย่างเช่น พื้นสนามฟุตซอลที่มีพื้นผิวเป็นพลาสติกหรือพื้นผิวรองรับการสร้างสรรค์ที่สามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการ หรือพื้นผิวที่สามารถติดตั้งได้ชั่วคราวหรือถาวร เป็นต้น

4. ขนาดพื้นสนามฟุตซอล

           ขนาดของพื้นสนามฟุตซอลสามารถแบ่งได้เป็นหลายแบบตามมาตรฐานและข้อกำหนดที่แตกต่างกันของแต่ละสนาม

          ขนาดพื้นสนามฟุตซอลที่ใช้มากที่สุดในสนามฟุตซอลเป็นสนามที่กว้างประมาณ 40-50 เมตร และยาวประมาณ 20-30 เมตร โดยมักมีขนาดที่เล็กกว่าสนามฟุตบอล

          ส่วนสนามฟุตซอลในระดับนานาชาติและมาตรฐานสูงมักมีขนาดและมาตรฐานที่ตรวจสอบและกำหนดโดยองค์กรกีฬาสากลอย่าง FIFA หรือ International Football Association Board (IFAB)

          โดยในปัจจุบันสนามฟุตซอลมักมีขนาดสองประเภทหลัก คือ

พื้นสนามฟุตซอล – สนามขนาดใหญ่ (Full-size Pitch): มักมีขนาดกว้างประมาณ 50-55 เมตร และยาวประมาณ 100-110 เมตร

พื้นสนามฟุตซอล – สนามขนาดเล็ก (Small-sided Pitch): มักมีขนาดกว้างประมาณ 40-50 เมตร และยาวประมาณ 60-80 เมตร

5. คุณสมบัติระบบพื้นสนามฟุตซอล

          ระบบพื้นสนามฟุตซอลควรคำนึงถึงและควรมีลักษณะเด่นต่อไปนี้

  1.  การระบายน้ำ: พื้นสนามฟุตซอลมักจะมีการออกแบบเพื่อให้สามารถระบายน้ำได้ดี เนื่องจากกีฬานี้มักเล่นในอากาศเปิด ดังนั้นการระบายน้ำที่ดีจะช่วยให้พื้นสนามฟุตซอลที่เล่นไม่เปียกน้ำและลื่นไถลในสภาพอากาศที่ฝนตก

  2. การยึดเท้า: พื้นสนามฟุตซอลมักมีพื้นผิวที่ช่วยในการยึดเท้าของนักกีฬา ทำให้เกิดความมั่นใจในการเคลื่อนไหวและหยุดตัวอย่างรวดเร็วและมั่นคง

  3. ความแข็งแรง: พื้นสนามฟุตซอลจะต้องมีความแข็งแรงเพียงพอที่จะรองรับน้ำหนักของนักกีฬาและการกระแทกที่เกิดขึ้นในระหว่างการเล่น

  4. การติดตั้งอุปกรณ์: ระบบพื้นสนามฟุตซอลมักมีการติดตั้งอุปกรณ์เสริมเช่น บอร์ดสี ประตู และเสา โดยควรจะมีการติดตั้งให้มั่นคงและปลอดภัย

  5. ความนุ่มนวล: พื้นสนามฟุตซอลมักมีการออกแบบให้มีความนุ่มนวลเพียงพอที่จะลดแรงกระแทกขณะที่นักกีฬาหรือผู้ใช้งานเดินอยู่บนพื้นสนามฟุตซอล

  6. การรับน้ำหนัก: พื้นสนามฟุตซอลต้องสามารถรับน้ำหนักได้เพียงพอโดยไม่ทำให้เกิดความเสียหายต่อโครงสร้างฐาน

6. การเลือกใช้สีทาพื้นสนามฟุตซอล

          การเลือกใช้สีทาพื้นสนามฟุตซอลมีความสำคัญเพราะสีทาพื้นสนามฟุตซอล สามารถมีผลต่อประสิทธิภาพของการแข่งขันและความเป็นมืออย่างมาก สีทาพื้นสนามฟุตซอลสามารถแบ่งได้เป็นหลายประเภทตามคุณสมบัติต่าง ๆ รวมถึงความเหมาะสมกับสภาพแวดล้อม และการใช้งานดังนี้:

สีทาพื้นสนามฟุตซอล – สีเขียว (Green): สีเขียวเป็นสีที่พบบ่อยในพื้นสนามฟุตซอลที่ใช้หญ้าธรรมชาติ สีทาพื้นสนามฟุตซอลนี้มักจะเน้นให้ความรู้สึกสดชื่นและสีสันของสนามสนามฟุตซอล สีเขียวยังเป็นสีที่สะท้อนแสงและสามารถช่วยให้ผู้เล่นมีความสบายในการเล่นในช่วงเวลาที่อากาศร้อน

สีทาพื้นสนามฟุตซอล – สีน้ำเงิน (Blue): สีน้ำเงินมักถูกใช้ในสนามฟุตซอลที่มีพื้นสีเทียม เนื่องจากสีน้ำเงินช่วยให้เนื้อผิวดูสะอาดและมีลุคที่เป็นเอกลักษณ์ นอกจากนี้ สีน้ำเงินยังเป็นสีที่สามารถช่วยเพิ่มความชัดเจนในการมองเห็นรายละเอียดของสนาม

สีทาพื้นสนามฟุตซอล – สีส้ม (Orange): สีส้มมักถูกใช้ในสนามฟุตซอลที่มีการใช้เส้นโค้งและส่วนของขอบสนาม เนื่องจากสีส้มมีความสดใสและสามารถช่วยให้สนามมีลุคที่ดูสนุกสนานและมีชีวิตชีวา

สีทาพื้นสนามฟุตซอล – สีเทา (Grey):  สีเทามักถูกใช้ในสนามที่มีลามิเนตหรือพื้นผิวแบบอื่นที่ไม่สามารถให้สีสันสดใสได้ สีเทาช่วยให้สนามดูเรียบร้อยและมีลุคที่เป็นสมดุล

          การเลือกใช้สีทาพื้นสนามฟุตซอลขึ้นอยู่กับความเหมาะสมต่อการใช้งาน สภาพแวดล้อม และความต้องการของผู้ใช้งาน โดยมีจุดประสงค์ในการให้สนามมีลุคที่ดูดีและเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการแข่งขันสนามฟุตซอลด้วย

 

7. การเลือกใช้สีทาพื้นสนามฟุตซอล ควรคำนึงถึงอะไรบ้าง

        การเลือกใช้สีทาพื้นสนามฟุตซอลมีความสำคัญในการสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับการแข่งขันและการใช้งานทั่วไป นี่คือบางปัจจัยที่ควรพิจารณาเมื่อเลือกใช้สีทาพื้นสนามฟุตซอล

  1. พื้นสนามฟุตซอล – ความสว่างและความสดใส: การเลือกใช้สีทาพื้นสนามฟุตซอลที่สว่างและสดใส ช่วยเพิ่มความสดใสและความอยู่รอดในสนามสีทาพื้นสนามฟุตซอล ที่เป็นที่นิยมสำหรับสนามฟุตซอลมักจะเป็นสีเขียวหรือเขียวเข้ม ซึ่งเป็นสีที่เหมาะสมกับพื้นที่กลางเขียวธรรมชาติ

  2. พื้นสนามฟุตซอล – ความต่างชั้น: การใช้สีทาพื้นสนามฟุตซอล ที่เป็นสีเดียวหรือสีที่มีความคงตัวช่วยให้เห็นต่างชั้นของพื้นสนามฟุตซอลได้ชัดเจน เช่น การใช้สีทาพื้นสนามฟุตซอลในสีเขียวสดบนพื้นสนามฟุตซอลที่เป็นสีเขียวเข้ม

  3. พื้นสนามฟุตซอล – ความสอดคล้องกับองค์กรหรือทีม: การเลือกใช้สีทาพื้นสนามฟุตซอลที่สอดคล้องกับสีสันหรือสัญลักษณ์ขององค์กรหรือทีมนั้นๆ อาจช่วยเสริมบทบาทและความเป็นเอกลักษณ์ของทีม

  4. พื้นสนามฟุตซอล – การสะท้อนแสง: การใช้สีทาพื้นสนามฟุตซอล ที่สามารถสะท้อนแสงได้ดีช่วยให้มีการกระจายแสงในพื้นสนามอย่างทั่วถึง ซึ่งช่วยลดการเรือนแสงและสร้างสภาพแวดล้อมที่สะดวกสบายสำหรับผู้เล่นและผู้ชม

  5. พื้นสนามฟุตซอล – การป้องกันการสูญเสียสี: การเลือกใช้สีทาพื้นสนามฟุตซอลที่มีความคงทนต่อสภาพอากาศและการใช้งานจะช่วยลดการสูญเสียสีและรั่วไหล

  6. พื้นสนามฟุตซอล – การปรับปรุงสภาพแวดล้อม: การใช้สีสีทาพื้นสนามฟุตซอลที่เหมาะสมสามารถช่วยให้ มีการปรับปรุงสภาพแวดล้อมในสนาม เช่น การใช้สีเขียวสดบนพื้นที่สนามเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการเล่นกีฬาและการออกกำลังกายในพื้นที่เปิด

 

8. สีทาพื้นสนามฟุตซอล มีกี่ประเภท 

                   สีทาสำหรับพื้นสนามฟุตซอลมีหลายประเภทต่างกันซึ่งสามารถปรับใช้กับความต้องการและสภาพอากาศของพื้นที่ที่สนามตั้งอยู่ได้ โดยทั่วไปแล้วสีทาพื้นสนามฟุตซอลสามารถแบ่งออกเป็นหมวดหมู่ดังนี้:

          สีทาพื้นสนามฟุตซอล อะคริลิค (Acrylic): สีทาพื้นสนามฟุตซอลประเภทนี้มักให้ผลลัพธ์ที่มีความสดใสและคมชัด เนื่องจากมีความสามารถในการสะท้อนแสงได้ดี นอกจากนี้ สีทาอะคริลิคยังมีความทนทานต่อสภาพอากาศและการใช้งานใน

          สีทาพื้นสนามฟุตซอล โพลียูรีเทน (PU): สีทาพื้นสนามฟุตซอลประเภทนี้มักมีความสมบูรณ์และความละเอียดที่ดี เหมาะสำหรับการใช้งานในสนามฟุตซอลระดับสูง นอกจากนี้ สีทาโพลียูรีเทนยังมีความทนทานต่อสภาพอากาศและสภาพแวดล้อมที่หลากหลายระยะยาว 

          การเลือกใช้สีทาพื้นสนามฟุตซอล ควรพิจารณาความเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและการใช้งานของพื้นที่สนามฟุตซอล โดยควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการเลือกใช้สีทาที่เหมาะสมในแต่ละสถานการณ์                                                                                                                             

9. สีทาพื้นสนามฟุตซอล PU(Polyurethane)

                การใช้สีทาพื้นสนามฟุตซอลที่เป็น PU(Polyurethane) มีข้อได้เปรียบมากมายเนื่องจากมีคุณสมบัติที่ดีต่อการใช้งานในสนามฟุตซอล นี่คือบางข้อดีของการใช้สีทาพื้นสนามฟุตซอลแบบ Polyurethane:

           9.1 ข้อดี – ของสีทาพื้นสนามฟุตซอล PU(Polyurethane)                                          

 ความทนทาน: สีทาพื้นสนามฟุตซอล PU(Polyurethane) มีความทนทานต่อการใช้งานและสภาพอากาศที่หลากหลาย เช่น ความต้านทานต่อการสึกหรอ การแต่งกาย และความเป็นมลพิษ

ความหนาแน่นและความสวยงาม: สีทาพื้นสนามฟุตซอล PU(Polyurethane) มีความหนาแน่นที่ดีซึ่งช่วยให้พื้นผิวมีความเรียบเนียนและสวยงาม สามารถสร้างผลลัพธ์ที่ดีทันทีเมื่อทาบนพื้นสนาม

ความยืดหยุ่น: สีทาพื้นสนามฟุตซอลPU(Polyurethane) ทำให้มีความเสถียรและสามารถรับมือกับการเคลื่อนไหวของพื้นสนามได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การทาทับ: สีทาพื้นสนามฟุตซอล PU(Polyurethane) สามารถทับได้กับสีที่มีอยู่บนพื้นสนามอื่นๆ อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้สามารถสร้างลวดลายหรือแบบสีตามความต้องการได้

ความทนทานต่อสภาพอากาศ: สีทาพื้นสนามฟุตซอล PU(Polyurethane) มีความทนทานต่อสภาพอากาศและการเปลี่ยนแปลงอากาศ ทำให้เหมาะสมสำหรับการใช้งานในพื้นที่กลางอากาศเปิด

          9.2 ข้อเสีย – ของสีทาพื้นสนามฟุตซอล PU(Polyurethane)                                

ราคาสูง: สีทาพื้นสนามฟุตซอล PU(Polyurethane) มักมีราคาสูงกว่าสีทาอื่นๆ ซึ่งอาจทำให้เพิ่มค่าใช้จ่ายในการตกแต่งหรือบำรุงรักษาสนาม

การทำความสะอาดและการบำรุงรักษาที่ซับซ้อน: สีทาพื้นสนามฟุตซอลPU(Polyurethane) สีทาพื้นสนามฟุตซอลแบบ Polyurethane อาจต้องการการดูแลและการบำรุงรักษาที่สูงขึ้น เนื่องจากการทาสีนี้อาจต้องการเคลือบหรือเติมสีเพิ่มเติมในระยะเวลาที่แตกต่างกันอย่างสม่ำเสมอ

ระยะเวลาในการทาและการแห้ง: การทาสีทาพื้นสนามฟุตซอลPU(Polyurethane) อาจใช้เวลาในการทาและการแห้งนานกว่าสีทาอื่นๆ ซึ่งอาจส่งผลให้มีการใช้งานสนามลดลงชั่วคราว

การทำลายสิ่งแวดล้อม: สีทาพื้นสนามฟุตซอล PU(Polyurethane) อาจมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะเมื่อมีการจัดการสีที่ไม่ถูกต้องหรือการทิ้งขยะที่เป็นอันตราย

การเสื่อมสภาพ: อาจเกิดการเสื่อมสภาพของสีทาพื้นสนามฟุตซอล PU(Polyurethane) ในระยะยาว เนื่องจากการเสียสภาพของสีโดยอิสระหรือตามเหตุการณ์ที่ต่างๆ เช่น การละเมิดหรือการใช้งานที่รุนแรง

 

10. สีทาพื้นสนามฟุตซอล อะคริลิ(Acrylic)

                  สีทาพื้นสนามฟุตซอล อะคริลิค (Acrylic) เป็นตัวเลือกที่นิยมในการทาพื้นสนามฟุตซอลเนื่องจากมีคุณสมบัติที่ดีต่อการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย

           10.1 ข้อเสีย – ของสีทาพื้นสนามฟุตซอล อะคริลิค (Acrylic):                                              

  ความทนทาน: สีทาพื้นสนามฟุตซอล Acrylic มีความทนทานต่อการใช้งาน 

 ระบายได้ดี: สีทาพื้นสนามฟุตซอล Acrylic มีความสามารถในการระบายได้ดี สามารถสร้างพื้นผิวที่เรียบเนียนและสวยงามที่เหมาะสมสำหรับการเล่นกีฬา

ระบายทับ: สีทาพื้นสนามฟุตซอล Acrylic สามารถทับได้กับสีที่มีอยู่บนพื้นผิวอื่นๆ ทำให้สามารถสร้างสีและลวดลายที่หลากหลายได้ตามความต้องการ

แห้งเร็ว: สีทาพื้นสนามฟุตซอล Acrylic มีคุณสมบัติในการแห้งเร็วทำให้สามารถใช้งานต่อไปได้เร็วขึ้น และไม่ต้องรอนานก่อนที่จะใช้งานต่อไปได้

ทนทานต่อสภาพอากาศ: สีทาพื้นสนามฟุตซอล Acrylic มีความทนทานต่อสภาพอากาศและการเปลี่ยนแปลงอากาศ ทำให้เหมาะสมสำหรับการใช้งานในพื้นที่กลางอากาศเปิด

สีสันที่สวยงาม:สีทาพื้นสนามฟุตซอล Acrylic มีความสามารถในการผสมสีและสร้างสีสันที่สวยงามและคมชัด ทำให้พื้นสนามฟุตซอลมีลักษณะที่น่าสนใจและมีความเป็นเอกลักษณ์

          10.2 ข้อดี – ของสีทาพื้นสนามฟุตซอล อะคริลิค (Acrylic):                                              

ความนุ่มนวล: สีทาพื้นสนามฟุตซอล Acrylic มักจะมีความนุ่มนวลเมื่อแห้ง ทำให้พื้นผิวอาจมีความสม่ำเสมอไม่เท่ากัน และอาจเสี่ยงต่อการเกิดรอยยับหรือรอยขีดข่วน

อุณหภูมิและความชื้น: สีทาพื้นสนามฟุตซอล Acrylic มีความไวต่อการแห้งที่น้อยลงเมื่อเทียบกับสีทาอื่นๆ ซึ่งอาจทำให้การทาพื้นสนามฟุตซอล ใช้เวลานานกว่าในการแห้งอย่างเพียงพอ และอาจส่งผลให้พื้นสนามฟุตซอลมีความแข็งแรงน้อยกว่า

ความหนาแน่น: การทาสีทาพื้นสนามฟุตซอล Acrylicบางครั้ง อาจต้องทาหลายๆ รอบเพื่อให้ได้ความหนาแน่นที่พอดี ซึ่งอาจส่งผลให้เพิ่มค่าใช้จ่ายในการซื้อสีทาและเวลาในการทา

การเปลี่ยนสี: สีทาพื้นสนามฟุตซอล Acrylic อาจมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนสีหรือลดความสดใสของสีในระยะเวลาที่ยาวนาน

การใช้งานที่แม่นยำ: สีทาพื้นสนามฟุตซอล Acrylic มักจะมีความหนืดในการทาและมีการระบายที่ไม่ค่อยเป็นเนื้อ ซึ่งอาจทำให้การใช้งานที่ต้องการความแม่นยำสูง อาจไม่เหมาะสม

11. การดูแลรักษาพื้นสนามฟุตซอล 

              การดูแลรักษาพื้นสนามฟุตซอลเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้รักษาคุณภาพและประสิทธิภาพของสนามไว้ในระยะยาว ด้านล่างนี้เป็นบางข้อแนะนำเกี่ยวกับการดูแลรักษาพื้นสนามฟุตซอล:       

  1. ความสะอาดและการบำรุงรักษาประจำวัน : ควรทำความสะอาดพื้นสนามฟุตซอลอย่างสม่ำเสมอ เช่น ถูบัสเซอร์เข้าด้วยกัน ใช้เครื่องดูดฝุ่นเพื่อเก็บสิ่งสกปรกที่ระเหยออกไป และล้างด้วยน้ำอย่างสม่ำเสมอ

  2. การดูแลและซ่อมแซมส่วนเสียหาย : ส่วนของสนามที่เสียหาย เช่น รอยร้าว รอยยับหรือชำรุด ควรทำการซ่อมแซมทันทีเพื่อป้องกันการเสื่อมสภาพและเพิ่มความปลอดภัย

  3. การควบคุมระดับน้ำ : ในสนามฟุตซอลที่มีพื้นผิวแบน เช่น สนามฟุตซอลในร่ม ควรมีระบบระบายน้ำที่ดีเพื่อป้องกันน้ำขังและช่วยลดความเสียหายจากน้ำที่ระเหยออกไป

  4. การตรวจสอบอุปกรณ์ : ต้องตรวจสอบอุปกรณ์เกี่ยวกับการเล่นฟุตซอล เช่น ประตู และเสามุม ให้แน่ใจว่ามีความทนทานและปลอดภัยอยู่เสมอ

  5. การรักษาสิ่งแวดล้อม : ควรมีความระมัดระวังเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมในบริเวณสนามฟุตซอล เช่น พื้นที่รอบๆ สนามซึ่งอาจมีสิ่งสำคัญ เช่น ต้นไม้หรือหินที่อาจสร้างอันตราย

  6. การบำรุงรักษาอย่างเคร่งครัด: การเร่งรัดและการบำรุงรักษาพื้นสนามฟุตซอลอย่างเคร่งครัดจะช่วยให้สนามมีอายุการใช้งานที่ยาวนานและประสิทธิภาพที่ดี