พื้นสนามลู่วิ่ง (Track) เป็นพื้นที่ที่ออกแบบมาเพื่อใช้ในการวิ่งหรือแข่งขันลู่วิ่ง โดยมักจะมีลักษณะเป็นทางเรียกว่า “ลู่วิ่ง” ซึ่งเป็นเส้นทางยาวระยะทางที่กว้างพอดีสำหรับการวิ่งหลายคนพร้อมๆ กัน

พื้นสนามลู่วิ่ง มีขนาดและวัสดุที่แตกต่างกันไปตามสภาพแวดล้อมและวัตถุดิบที่ใช้ในการสร้าง เช่น พื้นลู่วิ่งอาจเป็นทราย ยาง หรือพื้นที่ที่เรียบเนื่องจากอยู่ในสภาพอากาศที่อุ่น

แต่ส่วนใหญ่มักใช้พื้นที่ที่ทำจากยางหรือพื้นหินอย่างที่เจ้าของสนามหรือผู้ดูแลต่างๆ เลือกตามความเหมาะสมและการใช้งานจริง สนามลู่วิ่งมักจะมีเส้นทางกลมรอบๆ เพื่อให้นักวิ่งสามารถวิ่งต่อเนื่องโดยไม่ต้องหยุดหรือเลี่ยงวัตถุกีบบริเวณใดๆ นอกจากนี้ยังมักจะมีเส้นทางสำหรับการวิ่งระยะทางต่างๆ เช่น 200 เมตร, 400 เมตร, 800 เมตร หรือ 1,500 เมตร เป็นต้น ที่ทำให้สามารถใช้สนามลู่วิ่งได้หลายรูปแบบตามวัตถุประสงค์ของการใช้งานแต่ละครั้ง

ขนาดของพื้นลู่วิ่งลานกรีฑา มักจะแตกต่างกันไปตามมาตรฐานและการใช้งาน โดยมาตรฐานสากลมักกำหนดขนาดสนามลู่วิ่งแบบปกติ (standard track size) ดังนี้:

1. 1. พื้นสนามลู่วิ่งเร็ว (Sprint Track):
      • ระยะเส้นตรง: 100 เมตร
      • มุมที่ประกอบของแต่ละขอบของเส้นตรง: หน้าหลัง 180 องศา, หลังหน้า 180 องศา
      • รอบๆสนาม: 400 เมตร
      • จุดเริ่มต้นการวิ่ง: เส้นตรงครึ่งทางหน้าของสนาม
   2. พื้นสนามลู่วิ่งระยะกลาง (Middle Distance Track):
      • ระยะเส้นตรง: 200 เมตร
      • มุมที่ประกอบของแต่ละขอบของเส้นตรง: 150 องศา, 150 องศา
      • รอบๆสนาม: 400 เมตร
      • จุดเริ่มต้นการวิ่ง: เส้นตรงครึ่งทางหน้าของสนาม
   3. พื้นสนามลู่วิ่งระยะยาว (Long Distance Track):
      • ระยะเส้นตรง: 400 เมตร
      • มุมที่ประกอบของแต่ละขอบของเส้นตรง: 90 องศา, 90 องศา
      • รอบๆสนาม: 400 เมตร
      • จุดเริ่มต้นการวิ่ง: เส้นตรงครึ่งทางหน้าของสนาม

   สำหรับสนามลู่วิ่งลานกรีฑาสากล ระยะทางรอบๆสนามมักจะเป็น 400 เมตร โดยมีเส้นตรงที่ใช้ในการแข่งขันหลักๆ ซึ่งมีความยาว 100 เมตร และมีเส้นทางลงสนามเส้นตรงของ 200 เมตร เพื่อการแข่งขันระยะกลาง หรือ 300 เมตร หากจะใช้ในการแข่งขันทางระยะยาว เส้นทางลงสนามเส้นตรงของระยะยาวนั้นจะต้องระยะไกลกว่า 100 เมตร จากจุดเริ่มต้นของสนาม

 พื้นลู่ วิ่งมีคุณสมบัติหลายอย่างที่สำคัญในการให้ความสะดวกและปลอดภัยในการใช้งาน ดังนี้:

1. ความเรียบเนียนของพื้นลู่วิ่ง: พื้นลู่วิ่ง ควรมีพื้นผิวที่เรียบเนียนเพื่อป้องกันการบาดเจ็บและช่วยให้การวิ่งเป็นไปอย่างราบรื่น.
2. ความยืดหยุ่นพื้นลู่วิ่ง: พื้นลู่วิ่งต้องมีความยืดหยุ่น เพื่อช่วยลดแรงกระแทกและช่วยให้การวิ่งมีความสบายมากขึ้น.
3. ความยึดเหนี่ยวของพื้นลู่วิ่ง: พื้นลู่วิ่ง ควรมีความสามารถในการยึดเหนี่ยวเพื่อป้องกันการสลัดหรือลื่นไถล
4. การระบายอากาศของพื้นลู่วิ่ง: พื้นลู่วิ่งต้องมีการระบายอากาศที่ดี จะช่วยลดความร้อนที่สะสมได้ในพื้นลู่วิ่ง
5. ความทนทานต่อสภาพอากาศของพื้นลู่วิ่ง: พื้นลู่วิ่ง ควรมีความทนทานต่อสภาพอากาศต่างๆ เช่น ความทนทานต่อแดด ฝน หรือความชื้น.
6. ความทนทานต่อการสึกหรอของพื้นลู่วิ่ง: พื้นลู่วิ่ง ต้องทนทานต่อการสึกหรอ จะช่วยเพิ่มอายุการใช้งานของพื้นลู่วิ่ง
7. ความทนทานต่อสารเคมีของพื้นลู่วิ่ง: ในบางกรณี เช่น สนามลู่วิ่งที่ติดตั้งในสถานที่ปิดอาจต้องการความทนทานต่อสารเคมี

ประเภทพื้นลู่วิ่งแบ่งออกเป็นดังนี้

1. พื้นลู่วิ่งยาง (Rubber Track Surface): เป็นพื้นลู่วิ่ง ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายที่สุด มักใช้วัสดุยางหรือยางสังเคราะห์ที่มีความยืดหยุ่น พื้นลู่วิ่งจะเรียบและมีคุณสมบัติที่ดีต่อการลื่นไถล ทำให้เป็นที่นิยมสำหรับการใช้งานทั้งในการฝึกซ้อมและการแข่งขัน
2. พื้นลู่วิ่งพลาสติก (Plastic Track Surface): นอกจากนี้ยังมีพื้นลู่วิ่งที่ใช้วัสดุพลาสติกสังเคราะห์ เช่น Plex หรือ EPDM ซึ่งพื้นลู่วิ่งมีความทนทานต่ออุณหภูมิและการสึกหรอ และมักนิยมใช้ในสนามลู่วิ่งระยะยาว

ลู่วิ่งยางสังเคราะห์หรือ Synthetic Running Track เป็นพื้นผิวสำหรับการวิ่งที่สร้างขึ้นจากวัสดุยางสังเคราะห์ เป็นที่นิยมในสนามกีฬาและสนามเรียนรู้ต่างๆ

เนื่องจากพื้นลู่วิ่ง มีความทนทานต่อสภาพอากาศและการใช้งานที่ดี นอกจากนี้พื้นลู่วิ่งยังมีความเรียบเนียนและยืดหยุ่นที่ทำให้การวิ่งมีความสะดวกสบายมากขึ้น

พื้นลู่วิ่งยางสังเคราะห์ที่ใช้วัสดุ Polyurethane (PU) มักจะมีการแบ่งตามระบบการติดตั้งและโครงสร้างของพื้นลู่วิ่งต่างๆ โดยระบบหรือลักษณะที่แตกต่างกันอาจเกิดขึ้นจากความต้องการของสนามกีฬาที่ใช้งาน และสภาพอากาศที่พบเจอ อันจะส่งผลต่อการเลือกใช้ระบบที่เหมาะสมที่สุด เช่น:

1. พื้นลู่วิ่ง Full Pour System: ระบบนี้มีการใช้ PU ในทั้งหมดของพื้นลู่วิ่ง มีความยืดหยุ่นและสามารถรับแรงกระแทกได้ดี มักนิยมใช้ในสนามแข่งขันระดับสูง
2. พื้นลู่วิ่ง Sandwich System: ระบบนี้มีการใช้ PU ระหว่างชั้นล่างและชั้นบนของพื้นลู่วิ่ง ชั้นล่างอาจประกอบด้วยยาง EPDM หรือ SBR (Styrene Butadiene Rubber) ซึ่งมีความแข็งแรงและเสถียรมากขึ้น
3. พื้นลู่วิ่ง Spray System: ระบบนี้เป็นการพ่น PU โดยตรงบนพื้นสำเร็จรูป เพื่อสร้างพื้นที่ลื่นไหลเรียบเนียน มักนิยมใช้ในการปรับปรุงพื้นลู่วิ่ง ที่มีอายุการใช้งานมากแล้ว
4. พื้นลู่วิ่ง Porous System: ระบบนี้มีการใช้ PU ที่สร้างร่องรอยบนพื้นลู่วิ่ง เพื่อให้น้ำซึมผ่านไปยังชั้นล่างได้ ช่วยลดความเสี่ยงของน้ำขังในพื้นลู่วิ่ง
5. พื้นลู่วิ่ง Prefabricated System: ระบบนี้เป็นการใช้ชิ้นส่วนพื้นลู่วิ่ง ที่ผลิตมาแล้วโดยใช้วัสดุ PU ซึ่งสามารถติดตั้งได้โดยง่ายและรวดเร็ว มักใช้ในการปรับปรุงสนามกีฬาที่มีระยะเวลาในการใช้งานสั้นๆ หรือการใช้งานชั่วคราว

พื้นลู่วิ่งยางสังเคราะห์ที่ผลิตจาก Polyurethane (PU) มีข้อดีหลายประการที่ทำให้เป็นทางเลือกที่นิยมสำหรับการใช้งานในสนามกีฬาและสถานที่ต่างๆ ดังนี้

1. ความทนทานและคงทน: พื้นลู่วิ่งยางสังเคราะห์ PU มีความทนทานต่อการใช้งานในระยะยาวและคงทนต่อการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่ต่างกัน ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาและการปรับปรุงสนามกีฬาในระยะยาว
2. ความเรียบเนียนในการวิ่ง: พื้นลู่วิ่ง ที่ผลิตจาก PU มีความเรียบเนียนและนุ่มนวล ทำให้ผู้ใช้งานสามารถวิ่งได้อย่างสบายและปลอดภัย โดยไม่เกิดอาการบาดเจ็บหรือระคายเคืองกับข้อต่อ
3. ความยืดหยุ่น: พื้นลู่วิ่ง PU มีความยืดหยุ่นที่ดี ทำให้มีการตอบสนองที่ดีต่อแรงกระแทกและการเคลื่อนไหวของนักกีฬา นอกจากนี้ยังช่วยลดแรงกระแทกที่เกิดขึ้นกับข้อต่อขณะวิ่ง
4. การดูแลรักษาที่ง่าย: พื้นลู่วิ่งยางสังเคราะห์ PU มักมีความสะดวกในการดูแลรักษา เนื่องจากมีความต้านทานต่อการแตกหักและการสึกหรอ สามารถทำความสะอาดได้ง่ายและไม่ต้องการการบำรุงรักษาที่ซับซ้อนมาก
5. ความหลากหลายในการใช้งาน:พื้นลู่วิ่ง PU มีความหลากหลายในการใช้งานและการออกแบบ สามารถปรับปรุงสนามกีฬาหลายประเภทให้เหมาะสมกับการใช้งานและสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันได้ เช่น สนามแข่งขัน สนามฝึกซ้อม หรือสนามกีฬาที่ใช้ในการออกกำลังกาย

ดังนั้น ลู่วิ่งยางสังเคราะห์ที่ผลิตจาก PU เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับสนามกีฬาและสถานที่ต่างๆ ที่ต้องการความทนทาน ความสะดวกสบาย และประสิทธิภาพในการใช้งานในระยะยาว

สีทาพื้นลู่วิ่ง ที่ได้รับความนิยมสำหรับ พื้นลู่วิ่งยางสังเคราะห์มักเป็นสีส้ม สีเขียว หรือสีน้ำเงิน ซึ่งเป็นสีที่ช่วยเพิ่มความสว่างและมุมมองสำหรับผู้ใช้งาน การเลือกสีขึ้นอยู่กับความต้องการและสภาพการใช้งานของพื้นลู่วิ่ง เช่น:

1. พื้นลู่วิ่งสีส้ม: พื้นลู่วิ่ง “สีส้ม” มักนิยมในพื้นลู่วิ่งยางสังเคราะห์ เนื่องจากมีความสดใสและเข้ากับการใช้งานในระบบสาธารณะเช่น สนามกีฬาที่มีการแข่งขัน สนามฝึกซ้อม หรือสนามสำหรับการกีฬาที่ต้องการให้ผู้เยี่ยมชมสังเกตการณ์ได้ง่ายขึ้น
2. พื้นลู่วิ่งสีเขียว: พื้นลู่วิ่ง “สีเขียว” มักถูกเลือก เนื่องจากมีความเป็นธรรมชาติและช่วยเพิ่มความสดใสให้กับสนามกีฬา นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติที่ช่วยในการเรียบเนียนการแสงที่สนามได้ดี เพื่อให้ผู้ใช้งานมีประสบการณ์การวิ่งที่สะดวกสบาย
3. พื้นลู่วิ่งสีน้ำเงิน: พื้นลู่วิ่ง “สีน้ำเงิน” มักถูกใช้เพื่อเพิ่มความเงางาม สีน้ำเงินยังเป็นสีที่มีความโทนสมดุลและเงียบสงัด ทำให้เหมาะสำหรับสนามที่ต้องการความสงบสุข และมองเห็นว่าสีน้ำเงินสร้างบรรยากาศที่เพื่อสมบูรณ์ที่สุดในสนามกีฬา

การดูแลรักษาพื้นลู่วิ่ง เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้สนามลู่วิ่ง มีประสิทธิภาพในการใช้งานและยืนยาวได้นาน 

1. 1. ทำความสะอาดพื้นลู่วิ่ง: การทำความสะอาดพื้นลู่วิ่งเป็นสิ่งสำคัญ เพราะสิ่งสกปรกที่สะสมอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพในการวิ่งและเพิ่มความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ ควรทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ 
   2. ซ่อมแซมพื้นลู่วิ่ง: ตรวจสอบสภาพพื้นลู่วิ่ง เพื่อหาความเสียหาย และทำการซ่อมแซมทันที เช่น ซ่อมแซมส่วนที่แตก หรือเติมวัสดุเพื่อเติมพื้นลู่วิ่งที่มีสภาพเสียหาย
   3. การตรวจสอบระบบน้ำพื้นลู่วิ่ง : หากสนามพื้นลู่วิ่ง มีระบบรดน้ำ ควรตรวจสอบและดูแลรักษาให้ทำงานอย่างเหมาะสม เพื่อให้พื้นลู่วิ่งมีความชื้นที่เหมาะสมสำหรับการวิ่ง
   4. การควบคุมอุณหภูมิของพื้นลู่วิ่ง : สภาพอากาศที่มีอุณหภูมิสูงหรือต่ำมากอาจส่งผลต่อสภาพของพื้นลู่วิ่ง เช่น การเป็นแห้งหรือนุ่มเกินไป ควรควบคุมสภาพอากาศให้เหมาะสมในสนาม
   5. การรักษาความปลอดภัยพื้นลู่วิ่ง : ตรวจสอบและรักษาความปลอดภัยในพื้นลู่วิ่ง เช่น การล็อกสนามเมื่อไม่ใช้งาน เพื่อป้องกันการเข้ามาใช้งานโดยไม่ได้รับอนุญาต